[OS] 极昼 (5)

[OS] 极昼

Fandom : Quan Zhi Gao Shou เทพยุทธ์เซียน Glory

Pairing : โจวเสียง (โจวเจ๋อข่าย*ซุนเสียง)

Note : น่าจะ OOC, เรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจจาก #魔女集会で会いましょう (#มาพบปะกันในงานชุมนุมแม่มดกัน) นะคะ, #3KWS 1. หวานอมขม 2. รักแรก 3. อย่าหันกลับมา

 

ซุนเสียงกวาดสายตามองรอบตัว กระชับทวนเชวี่ยเสียในมือแน่น ในหัวของเด็กหนุ่มครุ่นคิดถึงวิธีจัดการอย่างเด็ดขาด เม้มปากแน่นเมื่อสัมผัสได้ถึงเค้าลางอันตราย เขาจะไม่ยอมปล่อยให้ใครรอดชีวิตไปได้แม้แต่คนเดียว เพราะหากมีศัตรูเล็ดลอดไปนั่นคือความผิดพลาดใหญ่หลวง และเขาคนนั้นต้องลงมาจัดการเอง ซุนเสียงไม่อยากคิดถึงชะตาชีวิตตัวเองหลังจากนั้นเลยที่ปล่อยให้เหยื่อหนีรอดไปได้

 

พ่อมดหนุ่มอยากทึ้งหัวระบายความหงุดหงิด ถ้าเป็นหลายร้อยปีก่อนรับมือคนกลุ่มนี้ไม่ได้ลำบากลำบนเลย แต่ให้สู้กับอาวุธสมัยใหม่พวกนี้เป็นเขาก็ยังลำบาก ความได้เปรียบของอาวุธก็เป็นส่วนหนึ่งที่สร้างความลำบากให้กับผู้วิเศษ มีเวทมนตร์ ต่อให้เชี่ยวชาญการผสมผสานเข้ากับอาวุธแล้วยังไง สุดท้ายก็ต้องร่ายเวทอยู่ดีจะไปเร็วกว่าการลั่นไกปืนเพียงไม่กี่วิแล้วเล็งยิงออกมาได้ยังไง คิดแล้วก็ได้แต่สงสารตัวเองชะมัด

 

ถึงจะบ่นแบบนั้นแต่ซุนเสียงก็ไม่ได้ด้อยฝีมืออย่างที่เขาบ่น เชวี่ยเสียตวัดตรงชี้หน้าผู้นำของมนุษย์กลุ่มนี้

 

“จะเข้าก็เข้ามา ฉันจะสอนให้รู้เองว่าการต่อสู้มันเป็นยังไง”

 

สิ้นคำพูดยโสโอหังของซุนเสียง อีกฝ่ายกลับหัวเราะรวนเอ่ยสั่งเพียงคำเดียวคนเหล่านั้นก็ตั้งท่าพุ่งเข้าหาเขาเต็มที่ ในมือถือทั้งอาวุธสมัยใหม่ มีดด้ามยาว คราด ค้อนสำหรับซ่อมเรือโดยสาร บ่งบอกว่าพวกเขาไม่ได้มีเส้นสายกับตำรวจพอจะจัดหาอาวุธมาให้ใช้งาน และหากเทียบกับมีดซึ่งพบเห็นตามโรงครัวแล้วเชวี่ยเสียของเขามีระยะการโจมตีที่กว้างกว่า แต่กับอาวุธจำพวกปืนนั้นสิ่งที่ซุนเสียงต้องทำคือการช่วงชิงความได้เปรียบก่อนที่อีกฝ่ายจะลั่นไก

 

ไม่รู้ว่าคนคนนี้จ้างด้วยเงินเท่าไหร่ถึงได้ทุ่มเททำตามคำสั่งขนาดนี้ หรือเขาควรพูดว่าเสพยากันไปเท่าไหร่ถึงคล้อยตามไม่เกรงกลัว…ตำนานซึ่งเป็นความจริง

 

แกร๊ง!!

 

ด้านทวนสะบัดรับกับมีดฆ่าสัตว์ซึ่งถูกใช้ต่างอาวุธ ซุนเสียงไม่ได้เหลือบมอง เขาขยับข้อมือเล็กน้อยมีดในมือศัตรูก็กระเด็นลอยขึ้นฟ้า และร่วงลงมาปักพื้นดินจมมิดด้ามไม่ไกลนักสร้างความเงียบสงัดเกิดขึ้นเหมือนทุกคนถูกสาปให้อยู่ภายใต้ความกลัว

 

การลงมือรวดเร็ว ฉับไวโดยไม่ใช้เวทมนตร์ช่วยทำเอาพวกเขาทุกคนโดยรอบลอบกลืนน้ำลาย ดูเหมือนครั้งนี้ เจ้านายของพวกเขาจะเล่นกับศัตรูผิดคนเสียแล้ว

 

โจวเจ๋อข่ายกุมแผลซึ่งกัดฟันเทยาระงับเลือดลงบนปากแผลสด ๆ จนปวดตุบ อาการหน้ามืดจากการเสียเลือดมากเกินไปกำลังเล่นงานเขา ใบหน้าหล่อเหลาซีดเผือด แต่นัยน์ตากลับจ้อมองแผ่นหลังของซุนเสียงด้วยความกังวลมากยิ่งกว่า

 

“…ซุนเสียง” โจวเจ๋อข่ายเอ่ยปากห้ามเบา ๆ เขารู้ว่าซุนเสียงเก่ง แต่ศัตรูเยอะขนาดนี้จะจัดการไหวได้อย่างไร ทว่าคำพูดของเขากลับกลายเป็นเพียงอากาศธาตุ เพราะพ่อมดของตนเองกระโจนเข้าสู่การต่อสู้นี้เลยเองโดยไม่สะทกสะท้านอะไรเลย ทั้งจำนวนคนและอาวุธครบมือ

 

ปัง!! ปืนถูกยิงขึ้นฟ้า ถลึงตาโพลงพร้อมแหกปากตะคอกลูกน้องของตนสุดเสียง!

 

“ยืนโง่อะไรอยู่วะ!! ฆ่ามันซะสิ อาวุธบ้านั่นมันจะมาเทียบกับอาวุธในมือพวกแกได้ห๊ะ!!!”

 

“คะ ครับ!!!”

 

ดูเหมือนพวกเขาจะได้สติเพราะคำตวาดนั้น ซุนเสียงยิ่งกลอกตาไม่เข้าใจ อะไรทำให้คนพวกนี้ทุ่มเทถวายหัวให้คนคนนี้นักนะ แต่ละคนต่างกระชับอาวุธในมือ ทว่ามันก็สายไปเสียแล้ว เวทมนตร์บทใหญ่ของซุนเสียงถูกเตรียมการเสร็จเรียบร้อย จังหวะเดียวกับที่ลูกน้องของชายคนนี้พุ่งตัวเข้ามาหาพอดี

 

การต่อสู้ของซุนเสียงเปรียบดั่งการร่ายรำที่สามารถจัดการศัตรูได้สยบอยู่แทบเท้าราวกับใบไม้ร่วง ยามเมื่ออาวุธมีคมของพวกเขาปะทะกับเชวี่ยเสียของซุนเสียงก็เกิดประกายไฟและเสียงดังเคร้ง มันดังถี่ต่อเนื่องบ่งบอกถึงการบุกหนักอย่างรวดเร็วไม่ปล่อยให้พักหายใจ อีกทั้งยังเป็นการโจมตีสะเปะสะปะ

 

สำหรับผู้ที่เคยร่ำเรียนการต่อสู้มาก็จะมีรูปแบบการโจมตีพื้นฐานตายตัว ต่อให้ประยุกต์ต่อยอดผสมผสานกับศิลปะการต่อสู้หลายแขนงอย่างไร รากฐานก็เป็นสิ่งเดียวกันที่ไม่สามารถทิ้งไปได้ แต่สำหรับการต่อสู้ในครั้งนี้ก็เหมือนการโจมตีมั่ว ๆ โดยอาศัยสัญชาตญาณแบบนี้มันคาดเดาได้ยาก

 

พ่อมดหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น เขายังไม่ได้ใช้พลังออกมา ตอนนี้ยังหน่วงพลังของตนเองเอาไว้ก่อน ด้วยรู้ดีว่าพลังนี้อันตรายแค่ไหน

 

โจวเจ๋อข่ายมองซุนเสียงซึ่งยังคงยืนนิ่งไม่ได้ขยับไปจากจุดเดิม แม้ต้องรับมือการโจมตีซึ่งดาหน้าเข้าหา เด็กหนุ่มก็ยังยืนราวกับอยากให้ตนเองเป็นเป้านิ่ง เพื่อควบคุมความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่ป่ากรีนวิท

 

ซุนเสียงหมุนปัดด้ามไร้คมไปด้านหลังฟาดลงบนข้อมือของสมาชิกซึ่งถือปืนอย่างแรงจนอาวุธตกลงพื้น จากนั้นขยับบิดข้อมือเล็กน้อยให้ด้ามทวนเกี่ยวคอเสื้อ เหวี่ยงชายคนนั้นข้ามศีรษะจงใจโยนเข้าหาพวกเดียวกัน น่าแปลก…ทันทีที่เท้าของซุนเสียงเหยียบลงกระบอกปืนพกที่ตกอยู่นั้น ราวกับว่าเหล็กซึ่งใช้ทำอาวุธถูกอะไรบางอย่างทำปฏิกิริยา และมันกำลังถูกสนิมกัดกร่อน เปื่อยพุพังอย่างรวดเร็วในเวลาไม่กี่วินาที

 

ความสามารถที่พึ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกของซุนเสียงทำให้โจวเจ๋อข่ายเบิกตากว้าง เขารู้ว่าอีกคนเก่ง แต่ไม่คิดว่าเวทมนตร์ของซุนเสียงจะแปลกประหลาดถึงเพียงนี้

 

มันคล้ายกับเวทมนตร์ของเยี่ยซิวที่สลักความกลัวฝังลึกในจิตใจของโจวเจ๋อข่ายในสมัยเด็ก ภาพของผืนป่าเขียวชอุ่มแห้งตาย แม่น้ำแห้งเหือด ความสามารถที่ดูราวกับถูกสูบพลังชีวิตออกไปแบบนั้น ที่ชายหนุ่มบอกว่าคล้ายเพราะต้นหญ้าใต้เท้าของซุนเสียงมันยังคงสภาพเดิมไม่ได้ถูกสูบพลังชีวิตออกไป

 

ปัง ๆๆๆ!!!

 

ปลายปากกระบอกปืนซึ่งล้อมรอบตัวพ่อมดหนุ่มเกิดควันสายหนึ่งจากการลั่นไกปืนส่งเสียงดังก้อง หากซุนเสียงกลับเหยียดยิ้มจองหองเพียงขยับเล็กน้อยสร้างกำแพงดินขึ้นมาคุ้มกันตนเอง เหตุผลที่เขาไม่ใช้บาเรียเนื่องจากจุดอ่อนของมันไม่สามารถป้องกันการโจมตีซึ่งมีรากฐานชัดเจนได้

 

“ปะ ปีศาจ” น้ำเสียหวาดผวานั้นกลับทำให้ซุนเสียงโคลงศีรษะอย่างหน่ายใจ บนใบหน้าของพ่อมดหนุ่มแทบจะปราศจากรอยยิ้ม

 

“ไม่เอาแล้วโว้ย!!!” ใครบางคนตะโกนลั่นขึ้นมาพร้อมหนีออกจากที่นี่อย่างขลาดกลัว

 

ความน่าพรั่นพรึงของซุนเสียงเขย่าขวัญบางคนให้วิ่งหนี แน่นอนการรักษาตัวรอดเป็นทางเลือกที่ฉลาดที่สุดในสถานการณ์นี้ แต่ว่านะ…อย่างที่เคยบอกไป เขาคือผู้ปกปักเขตแดนแห่งมนุษย์และผู้วิเศษคงปล่อยให้เหยื่อหนีรอดจากเงื้อมมือไปไม่ได้หรอก

 

“โง่ชะมัด” ซุนเสียงพึมพำ ทั้งที่เขาไม่อยากให้โจวเจ๋อข่ายเห็นด้านนี้ของเขาสักนิด

 

ผู้ปกปักที่ไม่ต่างจากฆาตกร…

 

“นี่เสี่ยวโจว…ถ้ากลัวจะหลับตาก็ได้นะ”

 

“…” โจวเจ๋อข่ายไม่ได้ตอบอะไร เขานิ่งงันและไม่เข้าใจคำพูดนั้น

 

เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!

 

“อ๊ากกกก!!!”

 

แล้วเสียงกรีดร้องดังขึ้น โจวเจ๋อข่ายหน้าซีดเผือดกับภาพตรงหน้า เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมซุนเสียงถึงบอกให้หลับตา ภาพที่เห็นตรงหน้าราวกับการฆาตกรรมสยองขวัญ ภาพของต้นไม้รอบตัวราวกับมีชีวิตขึ้นมา กิ่งไม้จ้วงแทงยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเหยื่อสูบเลือดเนื้อเปลี่ยนมันให้กลายเป็นปุ๋ยบำรุงจนร่างกายเหยื่อแห้งเหี่ยว คบเพลิงหล่นกระแทกพื้นให้น้ำมันไหลชุ่มเกิดประกายไฟ

 

และเพลิงสีส้มแดงลุกโหมกระหน่ำอย่างรวดเร็ว…มันลุกโหมรวดเร็วกว่าการเผาไหม้ปรกติ บ่งบอกว่ามีบางสิ่งบางอย่างได้ทำปฏิกิริยากับเปลวไฟนั้นเพื่อ…

 

…เปลี่ยนกลางคืนให้กลับกลายเป็นกลางวัน

 

ด้วยแสงสว่างที่มากพอทำให้เห็นสีหน้าบิดเบี้ยว ขลาดกลัว อาฆาตแค้น หลากอารมณ์ปะปนกันจนยากจะบอกได้ว่าคนเหล่านี้กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ นั่นแตกต่างจากสีหน้าของพ่อมดหนุ่มลิบลับ ซุนเสียงดูนิ่ง สุขุมและใจเย็นจนดูแปลกตามากเกินไปในความรู้สึกของโจวเจ๋อข่าย จนเขาต้องย้อนกลับมาถามตัวเอง

 

ว่าจริง ๆ แล้ว…เขารู้จักซุนเสียงดีแค่ไหนกัน!?

 

ไฟสีส้มแดงม้วนตัวเสมือนมีชีวิตจนแลดูคล้ายกับมังกรจิ๋วพันปลายด้ามคมเชวี่ยเสีย นัยน์ตาสีอ่อนของซุนเสียงสะท้อนกับสีของเปลวไฟให้ความรู้สึกประหลาด แล้วเด็กหนุ่มก็เปลี่ยนจากเกมรับเป็นฝ่ายรุกคืบเข้าโจมตีเอง

 

เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!

 

เหมือนได้ยินเสียงบางอย่างลั่นเตือนก้องอยู่ในหัว หากซุนเสียงก็ไม่ใส่ใจ เด็กหนุ่มยังควงทวนให้คมทวนคมกริบถูกยกขึ้นตวัดฟันร่างของศัตรูจนเลือดโชก อีกทั้งแผลนั้นยังถูกไฟไหม้ต่อจนดูน่าสยดสยอง กลิ่นเนื้อไหม้โชยแสบจมูกจนรู้สึกพะอืดพะอม หากซุนเสียงยังทำแบบนั้นต่อไปโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยน ศัตรูเองก็ไม่น้อยหน้า เมื่อรู้ว่าหนีไปไม่รอดก็เลือดเข้าตากรูเข้าหาพ่อมดหนุ่มเสมือนหมาบ้า

 

ซุนเสียงยังคงใช้เพลงทวนได้อย่างช่ำชอง ไหลลื่นต่อเนื่องไม่เปิดช่องว่างให้สบโอกาสลอบโจมตี เขาขยับเบี่ยงหลบค้อนซ่อมเรือคว้าคอเสื้อไว้แน่น แล้วเหวี่ยงอัดลงพื้น ได้ยินเสียงกระดูกลั่นดังกร๊อบบ่งบอกว่าซี่โครงหักไปแล้ว หากเด็กหนุ่มไม่สนใจเสียงร้องครวญนั้นยังคงโจมตีอย่างต่อเนื่อง

 

พรึ่บบบ!!

 

เปลวไฟปะทุขึ้นสูงอย่างน่ากลัว ความร้อนแรงมันกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เห็นได้จากการเปลี่ยนสีจากสีส้มมันค่อย ๆ เข้มขึ้น…เข้มขึ้นจนกลายเป็นไฟสีฟ้า ความรุนแรงของมันทำให้เปลวไฟเมื่อครู่ดูเป็นของเด็กเล่นไปเลย กลิ่นเหม็นไหม้โชยแตะจมูกตามมาด้วยควันไฟหนา ๆ ที่พวยพุ่งไปทั่วจนทัศนียภาพโดยรอบกลายเป็นเทาของเขม่า เช่นเดียวกับเสียงกรีดร้องโหยหวนอย่างทรมาน

 

เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!

 

ขณะเดียวกันนั้นเองโจวเจ๋อข่ายอาศัยเสาไม้สำหรับคล้องเชือกยึดเรือในการพยุงตัว สายตามองตรงไปยังหัวหน้าของศัตรู…ญาติที่น่ารังเกียจที่อาศัยจังหวะชุลมุนนี้เล็งยิงมาที่ซุนเสียงของเขา

 

สีหน้าของคนคนนั้นเหมือนอยากฉีกทั้งซุนเสียงและโจวเจ๋อข่ายเป็นชิ้น ๆ สายตากินเลือดกินเนื้อและรอยยิ้มซึ่งเต็มไปด้วยโทสะอันเดือดดาล ทว่าก็ยังคงความใจเย็นไว้ได้เต็มเปี่ยมเช่นกัน

 

มือในมืออีกฝ่ายถึงยกขึ้นลำกล้อง เพียงแค่นั้นก็เข้าใจได้ไม่ยาก อีกทั้งในสายตาของโจวเจ๋อข่ายมันเล็งยิงไปหาคนสำคัญของเขา คงเป็นเพราะวิธีการต่อสู้ของซุนเสียง…พ่อมดของเขาแทบจะไม่เคลื่อนไหวออกจากตำแหน่งเดิมเลยสักนิด เพียงแค่เห็นอีกฝ่ายเหนี่ยวไก ร่างกายก็เคลื่อนไหวไปตามสัญชาตญาณต่อให้ตอนนี้จะบาดเจ็บหรือเสียเลือดมากเกินไป

 

“…ซุนเสียง” พ่อมดหนุ่มได้ยินเสียงเรียกชื่อของตน แล้วสายตาก็ถูกบดบัง พร้อมกับเสียงหนึ่งดังขึ้น

 

ปัง!!!

 

เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!

 

 

…….

 

 

มือเรียวสวยจนน่าอิจฉาสั่นเทายามยกขึ้นคล้ายกับอยากแตะต้องผลึกคริสตัลซึ่งส่งเสียงลั่นเปรี๊ยะตลอดเวลานี้ แววตาของเยี่ยซิวเต็มไปด้วยความสับสน เขารู้…รู้ทุกอย่างอยู่เต็มอกแต่ทำอะไรไม่ได้

 

ทำไมกัน!?

 

มู่ชิว…

 

แม้กระทั่งเสี่ยวเสียงเองก็ยังไม่กลัวบ้างเลยเหรอ?

 

เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!

 

เยี่ยซิวมองผลึกคริสตัลสีฟ้าใสไขว้กันคล้ายกับไม้กางเขนซึ่งมีดอกลิลลี่ในอัตราย่อส่วนจากขนาดจริงพันเกี่ยวในมือส่งเสียงลั่นเปรี๊ยะพร้อมแตกสลายลงไปทุกเมื่อ เสียงนั้นบีบรัดคล้ายกับประกาศความจริงดังก้องในจิตใจว่าเขากำลังสูญเสียเด็กคนนั้น…ไปตลอดกาล

 

 

…….

 

 

“จะ เจ๋อข่าย!?”

 

ทำไม…ถึงทำแบบนี้

 

ทำไม!? ทำแบบนี้เดี๋ยวก็ตายหรอกนะ

 

ฉันนะ…ฉันนะ…

 

ฉันนะไม่ต้องการให้มนุษย์มาปกป้องหรอกนะ!!!

 

ภายในใจของซุนเสียงแทบจะเป็นกรีดร้องคำพูดนี้ออกมายามที่เขาล้มลงกึ่งนั่งกึ่งนอน เขาได้ยินเสียงกัดฟันกรอดอย่างเจ็บปวดของโจวเจ๋อข่าย ในหัวก็อื้ออึ้งคิดอะไรไม่ออกแล้วทั้งนั้น ซุนเสียงลืมสิ้นทุกอย่างทั้งความยั้งคิด การควบคุมอารมณ์ ส่งผลให้พลังของเขา

 

…คลุ้มคลั่ง

 

และหากพูดถึงรูปแบบเฉพาะของพลังแล้วเวทมนตร์ของซุนเสียงใกล้เคียงกับเยี่ยซิวมาก พลังของเยี่ยซิวคือพลังที่มีไว้เพื่อต่อต้านชีวิตโดยสมบูรณ์ นั่นคือเพียงแค่เขาใช้พลังเท่ากับการปฏิเสธการคงอยู่ของสิ่งนั้นโดยสิ้นเชิง พลังนี้ดูเผิน ๆ เหมือนไม่มีอะไร หากบอกว่าพลังนั้นคือการปฏิเสธของคงอยู่ของสิ่ง ๆ หนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นเวทมนตร์ สิ่งที่ยึดติด หรือสามารถทำให้ดวงวิญญาณดวงหนึ่งกลายเป็นดวงวิญญาณเปล่า ๆ ที่ไม่มีความทรงจำ ไม่มีพลัง ไม่มีอะไรเลยได้ แต่เพราะเยี่ยซิวมีทั้งพลังในการทำลายชีวิต และฟื้นคืนชีวิต

 

แต่ซุนเสียงไม่ใช่ พลังของเขามีไว้เพื่อทำลายเท่านั้น!

 

พลังของซุนเสียงในยามคลุ้มคลั่งเช่นนี้ทำให้รอบตัวของทั้งสองคนก็เกิดเสื่อมสลายอย่างรวดเร็ว พื้นหญ้าแห้งเหี่ยวกลายเป็นน้ำตาลซีดก่อนที่มันจะถูกกัดกร่อนผุพังในเวลาอันรวดเร็ว ระยะการกัดกร่อนนี้รุกคืบอย่างรวดเร็วเพียงสามวินาทีก็ขยายวงกว้างได้เกือบร้อยเมตร ยามเมื่อพลังเสื่อมสลายแตะต้องพื้นน้ำในทะเลสาบมันก็เดือดพล่านและแห้งเหือดดั่งถูกความร้อนสูงแผดเผาให้ระเหยกลายเป็นไอ พื้นดินรอบด้านก็แตกระแหงยากเกินกว่าจะฟื้นฟูให้กลับเป็นปรกติได้

 

หากมันยังกัดกร่อนต่อไปเช่นนี้พูดยากว่าระยะเวลาร้อยปีจะทำให้พื้นดินแห้งตายฟื้นคืนมาได้หรือเปล่า

 

และนี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้วิเศษคนอื่น ๆ หลีกหนีซุนเสียง

 

“ไม่…ไม่…” มือซึ่งถือปืนสั่นระริก แววตาของชายหนุ่มคล้ายกับคนสติหลุดเข้าไปทุกที “ฉันไม่ได้แพ้…ไม่ได้มาที่นี่เพื่อตาย”

 

“…”

 

ซุนเสียงมองสบตากับมนุษย์ซึ่งบังอาจแตะต้องคนสำคัญของตนเองด้วยสายตากร้าว ต่อให้เสียงลั่นเปรี๊ยะพร้อมแตกสลายจะดังก้องอยู่ในหัว ณ วินาทีเขาก็ไม่สนใจ สร้อยสังวาลร้อยอัญมณีบนเขามังกรพลันหล่นกระแทกพื้นเมื่อเขานั้นผุกร่อนและค่อย ๆ หักร่วงลงมา

 

“อึก!”

 

กัดฟันแน่นกับความรู้สึกแปลก ๆ พลังเสื่อมสลายซึ่งรุกคืบอย่างรวดเร็วนั้นลดความเร็วลงจน เด็กหนุ่มเผลอจิกเล็บลงบนท่อนแขนของโจวเจ๋อข่ายสะกดกลั้นความเจ็บปวด นั่นช่วยดึงสติของซุนเสียงให้กลับมาเข้าที่เข้าทางอีกครั้ง

 

“ซุนเสียง…” แม้ถูกยิงซ้ำแต่รอบนี้มันแค่เฉี่ยวไหล่ไป หากบาดแผล ความเจ็บปวด และการสูญเสียเลือดก็เกือบทำให้เขาหมดสติไป ต้องขอบคุณการจิกแขนของซุนเสียงที่ทำให้เขายังไม่หลับ ไม่รู้ว่าถ้าหลับไปนี้เขาจะได้ลืมตาตื่นขึ้นมาหรือเปล่า “ไม่เป็นไรนะ”

 

“…เสี่ยวโจว”

 

เปรี๊ยะ…เปรี๊ยะ!

 

“ไม่…ไม่…”

 

ชายคนนั้นกำลังสั่น…สั่นอย่างควบคุมตัวเองไม่อยู่ ดวงตาสีเดียวกับโจวเจ๋อข่ายถลึงตามองอย่างน่ากลัว เช่นเดียวกับริมฝีปากที่ถูกกัดจนเลือดซิบ มันพึมพำประโยคเดิมซ้ำ ๆ ราวกับสมองสั่งการให้พูดได้เพียงแค่นี้ เพื่อแค่สบตากันอีกครั้งก็หนาวยะเยือกไปถึงกระดูก

 

ไม่รู้สิ…แต่บอกได้อย่างเดียวว่าผู้ชายคนนี้ถูกพลังของซุนเสียงกดดัน ถูกความหวาดกลัวครอบงำจนคลั่งไปแล้ว

 

เขาหัวเราะในลำคอดังขึ้นเรื่อย ๆ เปลวไฟสีน้ำเงินซึ่งยังไม่มอดดับทำให้เห็นสีหน้านั้นได้ชัดเจนว่าใบหน้าซึ่งกำลังฉีกยิ้มให้นั้นบิดเบี้ยวและดูน่าพรั่นพรึงแค่ไหน

 

“ฉัน…ไม่ยอมตายฟรี ๆ หรอก…”

 

จะว่าโชคดีหรือโชคร้ายดี? ศพซึ่งถูกจ้วงแทงและอยู่ใกล้พอในระยะคุ้มครองตนเองของกลไกปกป้องร่างกายโดยอัตโนมัติของซุนเสียงทำให้มันไม่ถูกพลังเสื่อมสลายกัดกร่อนไปนั้นมีอาวุธร้ายสีดำทะมึนตกอยู่ข้างกัน โจวเจ๋อข่ายครางในลำคอด้วยความเจ็บไปหมดทั้งร่างกาย เขาเอื้อมมือคว้าเจ้าสิ่งนั้น ต่อให้ความร้อนนั้นจากอาวุธร้ายจะทำให้มือผุผองนั่นก็ไม่ใช่ปัญหา ขอแค่เจ้าสิ่งนี้ยังพอใช้การได้อยู่

 

โจวเจ๋อข่ายเติบโตในสังคมผู้วิเศษที่การประลองด้วยเวทมนตร์เป็นเรื่องของเกียรติยศ นั่นหมายความว่าฝีมือของเขาซึ่งคลุกคลีกับผู้วิเศษเหล่านั้นทั้งที่เป็นมนุษย์ธรรมดาไม่ได้อ่อนด้อยเช่นกัน ทว่าน้ำหนักของอาวุธสังหารหนักอึ้งในความรู้สึกของเขา ทั้งที่มือคู่นี้มีไว้เพื่อช่วยชีวิตคน บัดนี้กลับเป็นฝ่ายถือเพชฌฆาตเพื่อพรากชีวิตคน

 

นี่เป็นครั้งแรกที่โจวเจ๋อข่ายได้กลับมาจับปืนหลังจากลาขาดไปหลายปี

 

แน่นอนว่าทุกอย่างเพื่อ…ครอบครัวของเขา

 

“ถ้าต้องตาย…” ชายหนุ่มหัวเราะคล้ายกับคนวิกลจริต “พวกแกทั้งคู่ก็ต้องลงนรกไปกับฉันด้วย!!!”

 

บ้าจริง!

 

ซุนเสียงสบถเมื่อเขาเรียกใช้พลังของตนเองไม่ได้ พลังเวทในตัวกำลังรวนและมันก็สูญเรี่ยวแรงของเขาไปจนกระดิกนิ้วแทบไม่ได้ เสียงลั่นเปรี๊ยะดังก้องอยู่ในหัวตลอดเวลาจนน่าหงุดหงิด เด็กหนุ่มกัดฟันกรอดสั่งให้ร่างกายในตอนนี้ขยับดั่งใจคิด อีกแค่นิดเดียวเอง…อีกแค่นิดเดียวเอง…

 

ขณะที่ผู้ชายคนนั้นตั้งใจจะฆ่าพวกเขาจริงดั่งคำพูด ปลายนิ้วเหนี่ยวไกปืนและเสี้ยววินาทีที่กำลังลั่นไกนั่นเอง โจวเจ๋อข่ายพลันเอี้ยวตัวกลับมาและยิงสวนกลับไปเร็วกว่า…

 

กระสุนเพียงนัดเดียวซึ่งเล็งยิงอย่างแม่นยำตัดขั้วหัวใจพอดี

 

ปัง!!! เพล้งงง!!!

 

 

…….

 

 

ภาพที่เขาไม่อยากเห็น และเรื่องราวที่ยังจำได้ไม่ลืมเลือนต่อให้ผ่านมาเป็นร้อย ๆ ปีได้ซ้อนทับกัน ภาพของผลึกคริสตัลสีฟ้าใสยามต้องแสงอาทิตย์จะแปรเปลี่ยนเป็นสีส้มทองไขว้กันคล้ายกับไม้กางเขนซึ่งมีดอกปักษาสวรรค์พันเกี่ยวเอาไว้แตกสลายไปต่อหน้าต่อตา

 

ความตายของซูมู่ชิว และ…

 

สาเหตุที่แท้จริงที่ซุนเสียงปฏิเสธว่าเขาเป็นอาจารย์มาโดยตลอด

 

สาเหตุที่เยี่ยซิวหมั่นไส้และกลั่นแกล้งซุนเสียงบ่อย ๆ

 

สาเหตุที่ทำให้เขาไม่สามารถเอ็นดูเด็กคนนี้ได้ ต่อให้รู้ว่าเนื้อแท้ของซุนเสียงเป็นเด็กดี เพียงแค่ปากไม่ตรงกับใจเท่านั้นเอง

 

เพราะเริ่มแรกคนที่ถ่ายทอด สอนสั่งและพบเจอซุนเสียงเมื่อสมัยเด็ก…สมัยที่ยังไร้เดียงสาคือซูมู่ชิว นั่นทำให้รากฐาน แก่นแท้แห่งเวทมนตร์ของทั้งสองคนเป็นแบบเดียวกัน เมื่อไหร่ก็ตามที่ต้องชดใช้ให้กับต้นกำเนิดของพลัง ร่างกายก็จะกลายเป็นเหมือนผลึกแก้วแล้วแตกสลายหายไปในที่สุด

 

 

‘อืม ความรู้สึกนั้นมันก็แตกต่างนิดหน่อย ฉันนะไม่ว่าช้าหรือเร็ว สักวันก็ต้องตกผลึกและสุดท้ายก็แตกสลาย แต่เพราะรู้ถึงได้พยายามใช้ชีวิตให้คุ้มค่าไง’

 

‘หึ! แล้วไงผมเลือกแล้วไม่เกี่ยวกับคุณสักหน่อย ถึงสักวันจะต้องตกผลึกและแตกสลายไปก็ตาม’

 

 

แม้คนพูดจะเป็นคนละคนแต่คำพูดกลับคล้ายคลึงกัน

 

พูดราวกับว่าทุกอย่างเป็นเรื่องปรกติ…

 

เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!

 

เสียงลั่นยังคงดังบาดหู และมันไม่เปิดโอกาสให้แก้ไข ไม่เปิดโอกาสให้เยี่ยซิวได้แก้ตัว

 

เพล้งงง!!!

 

แววตาเอื่อยเฉื่อยเบิกกว้างขึ้นเมื่อผลึกคริสตัลนั้นแตกลงต่อหน้าต่อตาของเขา ความเจ็บปวดเดิมฉายชัดตอกย้ำเยี่ยซิวอีกครั้งว่าสิ่งสำคัญของเขาได้แหลกสลายลงไปอีกหนึ่ง

 

“…เสี่ยวเสียง”

 

Tbc.

 

_____

***Talk***

ไม่จบ…? ช่างมันแล้วววว ตัดตอนมันตรงนี้แหละ!

สำหรับความสัมพันธ์ของพี่เยี่ยกับเสี่ยวเสียงในเรื่องที่จงใจวางแบบนี้ เพราะคิดว่าคนเราไม่มีใครเกลียดกันมาตั้งแต่แรก (ตัดเรื่องไม่ชอบขี้หน้ากันออกไป…) และถ้าหากทั้งเกลียดทั้งห่วงใยแปลว่ามันต้องมีสาเหตุที่ทำให้กลายเป็นแบบนั้น และสาเหตุนี้คือสิ่งที่วีเลือก

ขอบคุณที่อ่านจนถึงตรงนี้นะคะ

Walan