[OS] 极昼
Fandom : Quan Zhi Gao Shou เทพยุทธ์เซียน Glory
Pairing : โจวเสียง (โจวเจ๋อข่าย*ซุนเสียง)
Note : น่าจะ OOC, เรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจจาก #魔女集会で会いましょう (#มาพบปะกันในงานชุมนุมแม่มดกัน) นะคะ, #3KWS 1. หวานอมขม 2. รักแรก 3. อย่าหันกลับมา
หลายวันผ่านไป…
โจวเจ๋อข่ายเดินโซเซเข้าไปในป่ากรีนวิททั้งที่บาดแผลยังไม่หายดี ใต้เสื้อเชิ้ตสีขาวคือผ้าพันแผลและยังคงมีเลือดซึมออกมาเล็กน้อย อาการบาดเจ็บของเขาไม่สามารถหายได้ในเวลาเพียงไม่กี่วัน กว่าจะหายเป็นปรกติอย่างน้อยก็ครึ่งปี ทว่าชายหนุ่มทายาทตระกูลเก่าแก่ซึ่งชักพาโชคร้ายมาสู่คนสำคัญของตนเองยังคงเดินตรงเข้าไปในป่า
โจวเจ๋อข่ายไม่ได้ตรงไปยังทะเลสาบแห่งนั้น เขายังคงเดินลึกเข้าไปเรื่อย ๆ จากต้นไม้นานาพันธุ์รอบตัวกลายเป็นป่าสนสูงตระหง่านจนแทบจะไม่มีแสงแดดสาดส่องลงมา อุณหภูมิเองก็ลดต่ำลงบ่งบอกถึงสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ถึงกระนั้นสองขาก็ยังคงก้าวเดินต่อไปอย่างมั่นคง
สถานที่ที่เขาจะไปคือที่นั่น…
สถานที่ที่พวกเขาพบกันครั้งแรก
ภายใต้ต้นสนใหญ่ต้นหนึ่งมีท่อนไม้ถูกเหลาขึ้นมาทำเป็นสัญลักษณ์ไม้กางเขนแบบหยาบ ๆ อยากจะทำให้ดูดีกว่านี้ แต่ในอกก็เจ็บแปล๊บเสมอเมื่อความจริงนั้นตอกย้ำ ฉายชัดขึ้นมาอีกครั้ง เพราะภาพเหตุการณ์วันนั้นยังคงสดใหม่เกินไป และโจวเจ๋อข่ายไม่เคยกระเสือกกระสนดิ้นรนมีชีวิตรอด เขาไม่ต้องการ แต่กลับยังมีชีวิตอยู่
น่าหัวร่อ ทั้งที่หัวใจตอนนี้มันว่างเปล่าเมื่อโลกทั้งใบของเขาถูกพรากไป
ทำไมกัน! ทำไมกัน!?
สร้อยสังวาลร้อยอัญมณีซึ่งเคยประดับอยู่บนเขามังกรสีเงินของคนคนนั้นคล้องอยู่บนไม้กางเขนนั้นแกว่งไกวตามลม
ชายหนุ่มไม่รู้ว่าตนเองแสดงสีหน้าแบบไหนออกไปยามเห็นป้ายหลุมศพนี้ เขาทำเพียงแค่ทิ้งตัวนั่งลงอย่างไร้เรี่ยวแรง นั่งนิ่งไม่ไหวติงอยู่หน้าหลุมศพนี้ได้เป็นวัน ๆ ภายในแววตาซึ่งเคยเต็มไปด้วยความอ่อนโยนบัดนี้สูญเสียประกายความสดใสไปจนหมดสิ้น
“ต้องทำยังไง?” เอ่ยถามแผ่วเบากับป้ายหลุมศพ หยาดน้ำตาแห่งความเจ็บปวดยังคงหลั่งรินลงมา ในใจเต็มไปด้วยถ้อยคำแห่งความสิ้นหวัง
ทุกอย่างจบแล้วทันทีที่โจวเจ๋อข่ายเหนี่ยวไก ในจังหวะนั้นเองซุนเสียงก็ยกเชวี่ยเสียงขึ้นฝืนใช้พลังเสื่อมสลายเข้ารวมกับอาวุธและขว้างมันออกไป ทั้งที่การออกแบบพื้นฐานของเชวี่ยเสียถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในการต่อสู้ระยะประชิด แต่คุณสมบัติเด่นอีกอย่างของอาวุธประเภททวนก็ไม่ได้ถูกกลบไปจนหมดสิ้น
ปัง! สวบ!
กระสุนปืนยิงตัดขั้วหัวใจและถูกคมทวนแทงซ้ำอีกครั้ง!!
“กะ แก!!!” ปฏิกิริยาเฮือกสุดท้ายก่อนที่ร่างกายจะหยุดทำงานคือคำพูดสุดท้ายของความอาฆาตและดวงตาเบิกโพลงซึ่งมองสบตาซุนเสียงและโจวเจ๋อข่าย ทั้งที่ร่างกายกำลังถูกพลังเสื่อมสลายของซุนเสียงกัดกร่อนให้รับรู้ความทรมานครั้งสุดท้ายก่อนตาย
แต่น่าเสียดายที่สายตาแบบนี้ไม่ทำให้พ่อมดหนุ่มรู้สึกเดือนเนื้อร้อนใจเลยสักนิด เขาชินซะแล้วละ เพราะอย่างไรซะ…นี่ก็ไม่ใช่คนแรกที่เขาลงมือปลิดชีพ
แต่ว่ากับเสี่ยวโจว…!?
โจวเจ๋อข่ายอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนและเอนศีรษะซบไหล่ซุนเสียง ปืนพกที่เคยอยู่ในมือหล่นลงบนพื้น สีหน้าของชายหนุ่มซีดเซียวจนเกือบไร้เลือดฝาด สิ่งนี้สร้างความลนลานให้ซุนเสียงได้ยิ่งกว่า
“เจ๋อข่าย!!?” ซุนเสียงลนลานจนทำอะไรไม่ถูก เขาไม่สนใจเลยว่าสภาพร่างกายตอนนี้ของตนเองจะเป็นอย่างไร มีเพียงคนคนนี้เท่านั้นที่สำคัญที่สุด
ดวงตาสีอ่อนกวาดมองรอบด้านซึ่งเต็มไปด้วยศพมนุษย์ไหม้ดำเป็นตอตะโก หลงเหลือไฟสีน้ำเงินเป็นหย่อม ๆ ถึงกระนั้นแม้ว่าเขาจะเลิกใช้พลังแล้ว แต่พลังเสื่อมสลายที่ใช้งานไปแล้วยังคงตกค้างอยู่ที่นี่จนกว่ามันจะสลายไม่รุกคืบกลืนกินรอบด้านคงอีกประมาณชั่วโมงหนึ่ง
อยู่ที่นี่คงไม่ดีนัก และอาการของโจวเจ๋อข่ายรั้งรอเวลามากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว
ซุนเสียงเก็บเชวี่ยเสียกลับคืนสู่ที่ที่มันมา เขายกมือปัดปอยผมซึ่งร่วงปรกหน้าปรกตาของโจวเจ๋อข่ายออก กระซิบเสียงแผ่วกับคนหมดสติ “…เดี๋ยวก็ไม่เป็นไรแล้วนะเสี่ยวโจว”
นิ้วมือเรียวยาวชะงักกึก ดวงตาเบิกโพลงกับสิ่งที่เห็น ราวกับว่าร่างกายของเขาถูกสร้างขึ้นมาจากกระเบื้องเคลือบซึ่งฟาดใส่ของแข็งจนปรากฏรอยแตกร้าว จากนิ้วมือและถูกท่ามันกำลังรุกลามกัดกินร่างกายของเขา ทว่าสายตาของซุนเสียงบ่งบอกถึงการตัดสินใจเด็ดขาดอย่างไม่แยแสสภาพร่างกายของตนเอง พ่อมดหนุ่มตั้งพิกัดในใจนึกถึงบ้านของตนเองที่ซ่อนอยู่ในลึกเข้าไปในป่ากรีนวิท
จากนั้น…ทั้งสองก็หายตัวไปจากสถานที่แห่งนี้
“ซุนเสียง…ต้องทำยังไง?” โจวเจ๋อข่ายเอ่ยซ้ำไปซ้ำมาราวกับแผ่นเสียงตกร่อง เขาไม่รู้ว่าจะหันหน้าเข้าหาใคร ทุกอย่างมันมืดแปดด้านไปหมด เขามองไม่เห็นหนทางจะก้าวไปต่อ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำ ทุกความฝันที่พยายามไล่ตาม ทุกเป้าหมายในชีวิตที่ผ่านมา…
เขาทำเพื่อคนเพียงคนเดียวมาโดยตลอด
เขาเรียกวิชาปรุงยาจากฟางหมิงหัวเพื่อรักษาอาการป่วยของซุนเสียงที่เกิดจากการแบ่งพลังของตนเองให้เขา
เขาเรียนหมอเพียงเพื่อค้นหาแนวทางใหม่ ๆ ในขณะที่วิทยาศาสตร์กำลังก้าวหน้าเพื่อช่วยซุนเสียงอีกทางหนึ่ง
เขาฝึกการยิงปืนก็เพื่อปกป้องตนเองได้ในสังคมผู้วิเศษ เมื่อการต่อสู้คือเกียรติยศ เพียงเพื่อไม่อยากให้ซุนเสียงต้องกังวล
เขาฝึกใช้พลังที่ซุนเสียงแบ่งมาใช้อย่างช่ำชองเพื่อไม่ให้ความตั้งใจของอีกฝ่ายสูญเปล่า
เขาเรียนรู้เวทมนตร์ทุกแขนง จากตำราทุกเล่ม พยายามทุกวิถีทางให้เราได้อยู่ด้วยกันตลอดไป
แล้วทำไม?
ฉันควรทำอย่างไรต่อไป ตอบหน่อยได้ไหมซุนเสียง?
โจวเจ๋อข่ายไม่รู้ว่าตนเองหลับไปนานแค่ไหน ไม่คิดฝันด้วยซ้ำว่าเขาจะยังมีชีวิต แต่เมื่อลืมตาขึ้นท้องฟ้าก็ยังปกคลุมด้วยสีดำเช่นเดิม ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว แล้วร่างกายต้องประท้วงด้วยความเจ็บ สิ่งที่เห็นตรงหน้าทำให้รู้ทันทีว่าตนอยู่ที่ไหน แม้บ้านหลังนี้จะไม่มีไฟฟ้าใช้แต่แสงจันทร์นอกหน้าต่างก็สว่างมากพอเห็นรอบตัวชัดเจน
…บ้านของซุนเสียงในป่ากรีนวิท
“ลุกแบบนั้น…แผลเปิดพอดี”
โจวเจ๋อข่ายหันกลับไปมองยังต้นเสียงนั้น สีหน้าซึ่งกำลังปรากฏรอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวพลันยกค้าง ชายหนุ่มไม่สนใจอาการบาดเจ็บของตนเองอีกต่อไป เขาเอี้ยวตัวเท่าที่ร่างกายจะรับไหว ยื่นมืออันสั่นเทาออกไปข้างหน้า
“…ซุนเสียง” เสียงที่เอ่ยออกมานั้นเต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลาย ที่เด่นชัดที่สุดหนีไม่พ้นเสียงแห่งความเจ็บปวด
“ทำสีหน้าแบบนี้ทำไม” ซุนเสียงหัวเราะ
พ่อมดหนุ่มนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียง เขายื่นมือออกมาลูบแก้มของโจวเจ๋อข่าย ใบหน้าของซุนเสียงปรากฏรอยแตกร้าว ได้ยินเสียงลั่นเปรี๊ยะคล้ายกับจะแตกสลายลงไปทุกเมื่อ เพียงแค่เด็กหนุ่มขยับตัวมันก็ลุกลามอย่างรวดเร็ว เศษคริสัตลสีใสปรากฏขึ้นอยู่รอบตัวซุนเสียง
“ไม่…ทำไม เกิดอะไรขึ้น”
โจวเจ๋อข่ายไม่สามารถเรียบเรียงคำพูดของตนเองเป็นประโยคได้อีกต่อไป ไม่รู้เหตุผลแน่ชัด หากสัญชาตญาณของเขาสั่งให้ร่างกายหลั่งน้ำตาออกมา
ความจริงแล้วโจวเจ๋อข่ายโกหก เขารู้…แต่แค่ไม่อยากยอมรับ
“นี่คือผลลัพธ์ของการใช้พลังเกินขีดจำกัดตนเอง”
ความจริงที่ซุนเสียงกำลังเอ่ยออกมานั้นทำให้โจวเจ๋อข่ายนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ตอนนั้นเขาไม่ได้สนใจมันนักเพราะเป็นบันทึกของเนโครแมนเซอร์ ในหน้ากระดาษแผ่นสุดท้ายของบันทึกได้บันทึกจุดจบของผู้วิเศษซึ่งศึกษาวิชาเนโครแมนเซอร์ไว้ว่า ‘สำหรับผู้ล้อเล่นกับความตายแล้วนั้นความตายเป็นทั้งจุดเริ่มต้นสู่จุดสูงสุด และจุดเริ่มต้นของจุดจบ แต่ท้ายที่สุดแล้วพวกเขานั้นจะปราศจากวิญญาณ’
เพล้ง!
ร่างกายของพ่อมดหนุ่มกำลังแตกสลาย ซุนเสียงขมวดคิ้วเพียงเล็กน้อย ท่าทางลำบากใจที่จะพูดต่อแต่ว่าเขาไม่มีเวลามามัวโอ้เอ้ สิ่งที่ควรบอกต้องรีบบอกให้โจวเจ๋อข่ายรู้ “ฉันก็เหมือนกับอาจารย์ สุดท้ายแล้วต้องตกผลึกและหายไป เพราะงั้นอย่าร้องไห้สิ”
ซุนเสียงเกลี่ยน้ำตาให้กับโจวเจ๋อข่าย เขาพยายามฝืนยิ้มให้อีกคน ในใจเองกำลังกรีดร้องว่าไม่อยากตาย อย่างไรก็ยังไม่อยากตาย แต่เด็กหนุ่มไม่พูดมันออกมา เขาเตรียมใจยอมรับเรื่องนี้มานานแล้ว เหมือนที่เคยภาวนาซ้ำ ๆ ขอให้เวลาเดินช้าลง จนกว่าโจวเจ๋อข่ายจะหมดอายุขัย
เพล้ง! เพล้ง! ร่างกายแตกร้าวนั้นกำลังสูญสลายหายไป
เพราะงั้นสิ่งที่เขากำลังจะพูดมันออกไป…ซุนเสียงรู้ว่ามันเอาแต่ใจ
“ฉันนะ…อยากให้เสี่ยวโจวมีชีวิตอยู่ต่อไปนะ”
เพล้งงง!!!
โจวเจ๋อข่ายไม่รู้ว่าควรทำยังไง เหมือนกำลังถูกทรมานทั้งเป็น เขาพูดไม่ออก ทำได้เพียงร้องไห้ออกมาอย่างที่ชีวิตนี้คงไม่สามารถร้องไห้ไปมากกว่านี้ เขากำลังหายใจไม่ออก มือไม้ขยับไม่ไหว ทุกอย่างมันเย็นเฉียบราวกับร่างกายกลายเป็นน้ำแข็งไปแล้ว อึดอัดจนหายใจไม่ออก โลกทั้งใบของเขาพลันมืดหม่น เพียงแค่เห็น…
ซุนเสียงแหลกสลายไปต่อหน้าต่อตา
จะให้ฉันมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่ออะไร ทั้งที่ฉันก็แค่อยากอยู่กับนายเท่านั้นเอง
ฉันรักนายซุนเสียง
ฉันรักนาย
ถึงจะพูดออกไปสักกี่พันครั้งก็ไม่สามารถทำให้คนตายฟื้นกลับมาได้ ทั้งที่รู้ดีทุกอย่างว่าเราไม่สามารถชุบชีวิตคนตายให้กลับมา ต่อต้านกระแสเวลาที่ควรเป็น ในสมองของโจวเจ๋อข่ายพยายามนึกถึงหนทางมากมายจากตำราเวทมนตร์ที่เขาเคยศึกษา ทฤษฎีมากมายปรากฏขึ้นในใจ
แต่มันไม่มีทางเป็นไปได้ ก็ในเมื่อซุนเสียงนั้นแตกสลายหายไปไม่เหลือเพียงเศษเสี้ยวใด ๆ ไว้ดูต่างหากนอกจากเสื้อผ้าขาดริ้วในวันนั้นและสร้อยสังวาลเส้นนี้ แม้กระทั่งเลือดสักหยดก็ไม่หลงเหลือเป็นหลักฐานว่าพ่อมดของเขาเคยมีตัวตนอยู่นอกเหนือไปจากในความทรงจำของเขาเท่านั้น
ถ้าหากย้อนเวลากลับไปได้…
ถ้าหากย้อนเวลา…
จริงสินะ ตำราเวทมนตร์เล่มหนึ่งได้บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับเวลาเอาไว้ หนังสือที่เขาเคยอ่านเล่นเหมือนนิทานก่อนนอน หนังสือที่ซุนเสียงห้ามไม่ให้อ่านแต่เขาก็แอบอ่านต่อจนจบ
คล้ายดอกไม้ไฟจุดประกายความคิดชั่วเสี้ยววินาทีในใจของโจวเจ๋อข่าย ใบหน้าซูบเซียวเงยหน้ามองท้องฟ้าผ่านทิวต้นสนสูงตระหง่าน ชายหนุ่มลุกขึ้นโซเซ ไม่ปล่อยเวลาให้เสียเปล่าเขาเริ่มต้นสร้างวงแหวนเวทบนพื้น โจวเจ๋อข่ายตระหนักดีว่าตนเองเป็นแค่มนุษย์ธรรมดา เขาแค่หวังว่าเสี้ยวพลังของซุนเสียงในตัวเขาจะยังไม่สูญสลายไป
ขอเพียงสักครั้ง…
ราวกับคำภาวนาของเขาได้รับการตอบรับ
ติ๊กต๊อก! ติ๊กต๊อก! ติ๊กต๊อก!
ชายหนุ่มได้ยินเสียงเข็มนาฬิกาส่งเสียงดังติ๊กต๊อกก้องกังวาน ก่อเกิดปรากฏการณ์ลวงตาให้เห็นหน้าปัดนาฬิกาขนาดใหญ่ ขนาดเล็บนับไม่ถ้วน นาฬิกาบางเรือนเดินอย่างเที่ยงตรง บางเรือนเดินเร็วจนน่าแปลกใจ บางเรือนกลับเดินถอยหลัง ไม่มีนาฬิกาใดที่มีการเดินซ้ำกันเลย
“โง่จริง”
ควันบุหรี่บางเบาลอยอยู่รอบตัวของเยี่ยซิว ชายหนุ่มซึ่งยืนนิ่งบนกิ่งไม้สูงทอดมองความคลุ้มคลั่งของโจวเจ๋อข่ายด้วยสีหน้าเฉยเมย และดวงตาสีอำพันเงยขึ้นมองท้องฟ้าซึ่งปั่นป่วนของมนุษย์ซึ่งอาจหาญควบคุมเวลา มองเห็นพระอาทิตย์พลิกกลับเปลี่ยนกลางวันเป็นกลางคืน กลับกลางคืนเป็นกลางวัน ดวงดาวเคลื่อนไหวสับเปลี่ยนตำแหน่ง ชวนสับสนอลหม่าน
นี่คือความปั่นป่วนที่ไม่มีใครทันรู้ตัว
ความปั่นป่วนซึ่งเกิดจากความปรารถนาในปาฏิหาริย์อันน่าสิ้นหวัง
ที่โจวเจ๋อข่ายทำได้ไม่ยากเพราะทุกสิ่งมีกุญแจและเวลาของมัน เคยมีผู้วิเศษหลายคนพยายามย้อนเวลาเช่นกัน หากปราศจากกุญแจหรือมาไม่ถูกเวลาต่อให้พยายามแค่ไหนประตูก็จะไม่เปิดออก แต่ขอแค่เวลาถูกต้องและมีกุญแจดอกนั้น ไม่จำเป็นต้องพยายามอะไรเลย ประตูแห่งกาลเวลาก็พร้อมจะอ้าแขนรับ
แต่ว่านะ…เด็กคนนี้ไม่รู้ตัวเลยหรือว่าเราไม่มีทางย้อนเวลากลับไปในช่วงเวลาของตัวเองได้ ต่อให้ย้อนกลับไปนั่นก็เป็นโลกคู่ขนานเท่านั้น สิ่งสุดท้ายที่จะหลงเหลือจากการทำอะไรเกินตัวแบบนี้ไม่พ้นต้องแหลกสลายด้วยตัวตนที่ติดอยู่ในห้วงเวลาที่เดินช้าและเดินเร็วไปพร้อม ๆ กัน
ถึงปากจะบอกว่าสิ่งที่โจวเจ๋อข่ายกระทำนั้นโง่เขลา แต่เสี้ยวหนึ่งในหัวใจของเยี่ยซิวก็ต้องยอมรับความกล้าบ้าบิ่นนี้ คงเพราะอีกฝ่ายเป็นมนุษย์ ด้วยอายุขัยอันแสนสั้นทำให้พวกเขาทุ่มเทสุดกำลังเสมอเพื่อความปรารถนาของตนเอง ดั่งดอกไม้ซึ่งสว่างบนท้องฟ้าเพียงชั่วครู่ก่อนหายไป แต่ร่องรอยความประทับใจนั้นถูกทิ้งไว้ไม่ลืมเลือน
‘ช่วยหยุดเสี่ยวโจวที ผมขอละ…เยี่ยเกอ’
เบื้องหน้าอันว่างเปล่าของเยี่ยซิวพลันปรากฏผีเสื้อตัวหนึ่ง คล้ายกับภาพเงาของคนคนหนึ่งปรากฏขึ้นซ้อนทับ ใบหน้าหมองเศร้าและคำพูดเจือเสียงสะอื้นไห้แผ่วเบาจนแทบมลายหายไปกับสายลมนั้นมาจากวิญญาณดวงนี้ มาจาก…ซุนเสียง
“ถ้าให้พี่ทำ…” เมื่อใดก็ตามที่เยี่ยซิวแทนตัวเองด้วยคำว่า ‘พี่’ กับซุนเสียง นั่นหมายความว่าเขากำลังพูดเรื่องที่จริงจังอยู่ “ทุกสิ่งทุกอย่าง เรื่องราวเกี่ยวกับเราจะหายไปจากความทรงจำของเด็กคนนั้น ความยึดติดทุกอย่างจะถูกลบเลือนหายไปเลยนะ”
เหมือนซุนเสียงจะชะงักไป เขารู้ว่าลบหายที่เยี่ยซิวพูดถึงคือลบหายไปจริง ๆ ไม่มีทางที่ความทรงจำนั้นจะกลับมาอีกครั้ง ทั้งความทรงจำของสมองและความทรงจำของร่างกาย แต่เขาก็ตอบกลับมา ‘อืม ไม่เป็นไร ถ้ามันทำให้เจ๋อข่ายยังมีชีวิตอยู่’
สายตาของเด็กหนุ่มซึ่งมีเพียงวิญญาณไม่ละสายตาไปจากร่างกายบอบช้ำของโจวเจ๋อข่าย ผลพวงจากการย้อนเวลาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาเดาไม่ออกว่าระหว่างคุยกับเยี่ยซิว เด็กคนนั้นย้อนเวลาไปด้วยกี่ครั้ง เพราะห้วงเวลานั้นช้าเร็วไม่เท่ากัน
ในสายตาซุนเสียงร่างกายของโจวเจ๋อข่ายกำลังแตกสลายและวิญญาณดวงนั้นก็จะดับสูญ นั่นเป็นสิ่งที่เด็กหนุ่มไม่มีวันยอมให้เกิดขึ้น
เยี่ยซิวถอนหายใจและตอบตกลง เขาได้ยินคำพูดเบา ๆ ว่าขอบคุณก่อนที่ผีเสื้อตัวนั้น—วิญญาณดวงนั้น—จะบินไปหาโจวเจ๋อข่าย ชายหนุ่มเงยหน้ามองท้องฟ้าซึ่งปั่นป่วนด้วยความยุ่งยากใจ ต่อให้เขาไม่ยื่นมือเข้าไปแทรก ไม่นานทุกอย่างก็หยุดเอง ด้วยการดับสูญของผู้ฝืนลิขิตชะตา
แต่พอเห็นหน้าซุนเสียงที่กำลังร้องไห้ สีหน้าอ้อนวอนอย่างเจ็บปวดแบบนั้นทำเอาเขารู้สึกผิดขึ้นมาตะหงิด ๆ มันใช่เรื่องไหมเนี่ย!? คงเป็นเพราะเขาเคยชินกับสีหน้าท่าทางหยิ่งยโสและพุ่งตรงไปข้างหน้าของซุนเสียงจนลืมไปว่า ที่จริงแล้วเด็กคนนี้เก็บความเจ็บปวดของตนเองไว้อย่างมิดชิดแค่ไหน
ร่มแสนกลในมือเปลี่ยนรูปลักษณ์ไปตามบัญชาของผู้เป็นเจ้าของ ดวงตาของเยี่ยซิวมองลงไปข้างล่าง แล้วถอนหายใจเฮือกหนึ่ง อะไรจะเป็นใจกันขนาดนี้ที่โจวเจ๋อข่ายเลือกสร้างสุสานให้ซุนเสียงในป่ากรีนวิทและห่างไกลจากชุมชนผู้วิเศษที่สุด เพราะพลังของเยี่ยซิวอันตรายไม่แพ้ซุนเสียง การที่เขาจะใช้พลังเพื่อลบล้างสิ่งใดสิ่งหนึ่งออกไป หากจัดการไม่แม่นยำผลกระทบที่ตามมาคงไม่ต้องพูดถึง
รอบกายเยี่ยซิวปรากฏเส้นแสงสีทองเป็นริ้ว ๆ รัศมีของมันกว้างใหญ่กว่าสิบกิโลเมตรโดยยึดโจวเจ๋อข่ายเป็นศูนย์กลาง เศษละอองแสงสีทองเล็กจนแทบมองไม่เห็นด้วยตาเปล่ากำลังโปรยปรายร่วงโรยลงมาดั่งหิมะสีทอง มันทับถมกันซ้ำเล่าซ้ำเล่าจนมองเห็นได้ชัดขึ้นทุกขณะ
เหนือท้องฟ้าที่ไม่มีใครเงยหน้าขึ้นมองปรากฏวงเวทขนาดใหญ่เต็มไปด้วยลวดลายซับซ้อน ตัวอักษรที่ใช้เขียนมันก็ถี่ยิบ
‘เสี่ยวโจว’
นิ้วมือโปร่งแสงแตะสัมผัสข้างแก้มของโจวเจ๋อข่ายแผ่วเบา สภาพที่เห็นจากที่ไกล ๆ นั้นว่าย่ำแย่แล้ว พอดูใกล้ ๆ กลับชวนให้รู้สึกปวดใจยิ่งกว่าเดิม ทั้งที่อยากร้องไห้ตะโกนออกมาให้สุดเสียงว่าอย่าทำแบบนี้ เขาไม่ได้อยากให้โจวเจ๋อข่ายทำชีวิตตัวเองพังพินาศไปทั้งแบบนี้เพราะเรื่องของเขา
“ทำไมกัน…อะไรไม่พอ” ชายหนุ่มกัดฟันแน่นก้มหน้าแก้ไขหาหนทางข้ามเวลาไปยังที่ที่ปรารถนา
ซุนเสียงพยายามฝืนยิ้มว่าไม่เป็นไรให้โจวเจ๋อข่าย แม้ว่าอีกคนจะมองไม่เห็นตนเอง
‘เดี๋ยวทุกอย่างก็จบแล้ว’
สิ่งที่เริ่มต้นไว้ก็ต้องทำให้มันจบ ในเมื่อเขาเป็นคนมอบเสี้ยวพลังนี้ให้กับอีกฝ่ายเอง
‘เพราะงั้นนายไม่ต้องเสียใจอีกแล้วนะ ลืมฉันไปซะเถอะ’
สาเหตุที่วงแหวนเวทนั้นมีความสลับซับซ้อนมากเพราะสิ่งที่ต้องถูกลบออกไปมีเพียงความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับซุนเสียงเท่านั้น เนื่องจากธรรมชาติพลังของเยี่ยซิวเป็นการใช้งานในรูปแบบกว้าง หากเลือกจะลบทิ้งเขาไม่เคยต้องมาใส่ใจว่าจะลบแค่ไหน จัดการทำให้เป็นวิญญาณกลวงเปล่านั้นง่ายกว่ามาก แต่ว่าซุนเสียงคงไม่ยอม…
นั่นยิ่งขัดหูขัดตาเยี่ยซิวสุด ๆ
ละอองเวทมนตร์รายล้อมรอบตัวโจวเจ๋อข่ายดั่งพายุ ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกตัวถึงสถานการณ์ผิดปกติ แต่ว่าเขาขยับตัวไม่ได้ หนีไปจากตรงนี้ไม่ได้ ใครบางคนกำลังเล่นงานเขา แล้วดวงตาก็ต้องเบิกโพลงเมื่อบางสิ่งบางอย่างกำลัง [หาย] ไป
“ไม่…ไม่…”
โจวเจ๋อข่ายได้พึมพำฟังไม่ได้ศัพท์ น้ำตาไหลรินออกมาทุกครั้งที่ความทรงจำเกี่ยวกับซุนเสียงกลายเป็นภาพสีขาวโพลน เขาอยากต่อต้านแต่ทำอะไรไม่ได้ มีใครบางคนกำลังพรากสิ่งสำคัญของเขาให้หายไป แม้กระทั่งในความทรงจำ…
“ไม่…ซุนเสียง หยุดเดี๋ยวนี้นะ!!!”
ต่อให้ตะโกนออกไปจนสุดเสียงเวทมนตร์นั้นก็ไม่หยุด
โจวเจ๋อข่ายเริ่มจำหน้าตาของซุนเสียงไม่ได้ คนคนนั้นมีเส้นผมสีน้ำตาลทองและรอยยิ้มมั่นใจในตัวเอง แล้วเขามีดวงตาสีอะไรกัน…!?
“ไม่…อย่า…”
ขณะที่น้ำตายังคงหลั่งรินต่อใบหน้ายิ้มแย้มของพ่อมดของเขากำลังถูกแปรงทาสีระบายทับ เสียงซึ่งเรียกชื่อของเขาอย่างเขินอายแผ่วเบาลงเรื่อย ๆ
ได้โปรด ขอร้องล่ะอย่าลบเรื่องของซุน—
โจวเจ๋อข่ายยกมือขึ้นกุมศีรษะ หยุดเดี๋ยวนี้นะ อย่าพรากไปอย่าลบชื่อของ ▇ ▇ ▇ ไป!!!
คนคนนั้นชื่ออะไร อะไรทำไมเขาถึงนึกไม่ออก ทำไมกัน!!?
ซุนเสียงมองการดิ้นรนต่อต้านของโจวเจ๋อข่ายอย่างเจ็บปวดไม่แพ้กัน เด็กหนุ่มแสดงท่าทางโอบกอดรอบคออีกคนเอาไว้ กระซิบถ้อยคำปลอบโยนทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าโจวเจ๋อข่ายไม่ได้ยิน ‘ไม่เป็นไรนะ อีกแป๊บเดียว’
ทั้งสองคนยังคงร้องไห้…
โจวเจ๋อข่ายไม่รู้ทำไมเขาถึงร้องไห้ ภาพของใครบางคนถูกฉีกกระชากออกไปจากความทรงจำของเขา ทั้งที่พยายามนึกแต่กลับนึกไม่ออก ไม่ได้ยินเสียงอีกแล้ว คนคนนั้นเป็นใครกัน ทำไมเขาถึงร้องไห้ ทำไมกัน…
ทำไม!!!!!!
จวบจนทุกสิ่งเลือนหายไปราวกับละอองแสงสีทองไม่เคยมีมาก่อน ทุกอย่างจบลงอย่างเรียบง่าย…
เยี่ยซิวลอยลงมายืนบนพื้น มองโจวเจ๋อข่ายซึ่งสลบไปทั้งน้ำตาก่อนเลื่อนสายตาไปมองผีเสื้อขาวซึ่งเป็นตัวแทนของวิญญาณซุนเสียง มันโผบินเข้ามาข้างหูของชายหนุ่มก่อนลาลับหายไป
“พี่ฟังผีเสื้อพูดไม่รู้เรื่องหรอกนะ”
…….
กริ้งง—งงงง!!!
เสียงนาฬิกาปลุกแผดเสียงดังลั่นห้อง ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นพรวดแล้วแสดงสีหน้าบิดเบี้ยว อากาศยามเช้าตรู่ในวันนี้ค่อนข้างสดใส แต่คงไม่สนใจนักสำหรับคนป่วยอย่างโจวเจ๋อข่าย เขาประสบอุบัติเหตุเนื่องจากออกภาคสนามช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ตำรวจทำให้ได้รับบาดเจ็บจากการถูกยิง
พอคิดว่าต้องนอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาลจนกว่าจะหายดีนี่ก็เบื่อนิดหน่อยเหมือนกัน
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ” นางพยาบาลเอ่ยทักทายผู้ป่วยหน้าตาดีจนอยากหว่านเสน่ห์ใส่ ติดแต่หน้าที่ของเธอนี่สิ!
โจวเจ๋อข่ายเพียงยิ้มให้เล็กน้อยแล้วผงกศีรษะเป็นเชิงตอบรับ เขาไม่ได้โง่จนไม่รู้ว่าผู้หญิงหวังอะไรจากตัวเขาและชายหนุ่มก็เลือกเอ่ยถามเรื่องอื่นอย่างสุภาพ
“ออกโรงพยาบาลตอนไหน?”
นางพยาบาลสาวกะพริบตาปริบ ๆ แย้มรอยยิ้มหวานย้อยก่อนเอ่ยตอบ “เมื่อคุณหมอมา เขาจะบอกคุณเองนะคะ”
“ขอบคุณ”
โจวเจ๋อข่ายเอ่ยเพียงแค่นี้แล้วเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างฟังเสียงผู้คนจากถนนด้านล่างและรถม้าแล่นกุบกับไปตามท้องถนน เขาไม่ได้จับจ้องสิ่งใดเป็นพิเศษราวกับส่วนลึกของวิญญาณนั้นว่างเปล่า กระทั่งไม่เข้าใจตนเองว่าทำไมถึงมาเรียนหมอ ทำไมถึงบาดเจ็บหนักขนาดนี้
แต่สักวัน…
สักวันเขาคงรู้คำตอบนั้น
.
.
.
สุดท้ายแล้วโจวเจ๋อข่ายเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาที่รับเศษเสี้ยวพลังของพ่อมด หรือว่าเป็นพ่อมดมาแล้วตั้งแต่แรกกันแน่!?
เรื่องนี้ก็ไม่สำคัญหรอก รู้แค่ว่าเขาเป็นคนคนหนึ่งที่อาศัยอยู่บนโลกใบนี้ก็พอแล้ว
FIN.
***Talk***
จบแล้ว…นี่เป็นตอนจบที่ตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วค่ะ
ขอบคุณที่อ่านจนถึงตรงนี้
Walan